ดร.สุภัทร จำปาทอง เลขาธิการสภาการศึกษา(กกศ.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อรับฟังและให้ข้อเสนอแนะรายงานการวิจัยสภาวการณ์และแนวโน้มการจัดการศึกษาเพื่อสนองความต้องการพัฒนาประเทศ ปี 2562 โดย ดร.สุภัทร กล่าวว่า ผลจากการศึกษาสภาวการณ์และแนวโน้มการจัดการศึกษาเพื่อสนองความต้องการพัฒนาประเทศ ปี พ.ศ. 2562 พบว่า 1.การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา (Access) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาจากการเข้าถึงการศึกษาทุกสังกัดทั่วประเทศ โดยปีการศึกษา 2560 จำนวนนักเรียนที่ได้เข้าเรียนในระดับการศึกษาภาคบังคับทั่วประเทศ ในสถานศึกษาทุกสังกัด คิดเป็นร้อยละ 90.6 และผู้เรียนที่มีความพิการได้รับการพัฒนาสมรรถภาพหรือบริการทางการศึกษาที่เหมาะสม 2. ผู้เรียนทุกคน ทุกกลุ่มเป้าหมายได้รับบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานอย่างเท่าเทียม (Equity) โดยผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกคนได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาจากนโยบายเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาล ดร.สุภัทร กล่าวต่อไปว่า 3.คุณภาพการศึกษา (Quality) ในปี พ.ศ. 2561 ผลการทดสอบ O-NET วิชาที่ผ่านเกณฑ์ คือ วิชาภาษาไทยของชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้น ส่วนวิชาอื่นๆ ไม่บรรลุตามเป้าประสงค์ ประกอบกับผลการประเมิน PISA ในปี พ.ศ. 2555 และ 2558 มีผลการประเมินลดลง ในขณะที่สถานศึกษากลับมีผลการประเมินคุณภาพภายนอกในรอบที่ 3 (ปี พ.ศ. 2556 – 2558) ร้อยละ 83.47 สูงกว่าค่าเป้าหมายที่วางไว้ 4. ระบบการบริหารจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการลงทุนทางการศึกษาที่คุ้มค่าและบรรลุเป้าหมาย (Efficiency) ประสิทธิภาพการศึกษาต้องมองถึงระบบประกันคุณภาพ โดยเฉพาะสถานศึกษาขนาดเล็กที่ไม่มีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ มีบุคลากรไม่เพียงพอ ครูไม่ครบชั้น งบประมาณสนับสนุนรายหัวน้อย ฯลฯ ประกอบกับเกณฑ์การประเมินภายนอกของโรงเรียนขนาดเล็ก ปี พ.ศ. 2557 ไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินร้อยละ 3.79 และในปี พ.ศ. 2558 ไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินร้อยละ 10.78 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ 5. การตอบโจทย์บริบทที่เปลี่ยนแปลง (Relevancy) ในปี พ.ศ. 2561 สถาบันพัฒนาการจัดการนานาชาติ (IMD) ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษา โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับ 56 ในขณะที่ปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 54 ชี้ให้เห็นว่าระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระดับสากลลดลง เลขาธิการ กกศ.กล่าวด้วยว่า การศึกษาสภาวการณ์และแนวโน้มการจัดการศึกษาเพื่อสนองความต้องการพัฒนาประเทศ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทุกคนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องในดำเนินการ หลายปีที่ผ่านมาปัญหาการศึกษาไทยมีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข วันนี้ประเทศไทยมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา รวมถึงกฎหมายการศึกษา เช่น ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่กำลังอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งจะเป็นแนวทางเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปดำเนินการ อีกทั้ง ปัจจุบันจำนวนเด็กในโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากอัตราการเกิดของคนไทยมีจำนวนลดลง ส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษา ในอนาคตโรงเรียนขนาดใหญ่อาจกลายเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ดังนั้นจำเป็นต้องมีการศึกษาสภาวการณ์และแนวโน้มการจัดการศึกษา เพื่อสนองความต้องการพัฒนาประเทศ เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งหลังจากการสัมมนาในครั้งนี้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจะนำข้อเสนอแนะที่ได้ไปปรับปรุงรายงานการวิจัยฯ ให้มีความครอบคลุมและมีเนื้อหาครบถ้วน.....เดลินิวส์