นายกรัฐมนตรี ร่วมงานสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมด้านการศึกษาโดยโครงการประชารัฐด้านการศึกษา พร้อม ปาฐกถาพิเศษ สถานศึกษาต้องสร้างและผลิตคนในอนาคตอีก 20ปีข้างหน้าให้เป็นคนเก่งรอบรู้ทุกด้าน หวังโรงเรียนประชารัฐสร้างหลักสูตรการเป็นผู้นำ เห็นความคิดเด็กบางคนอยากเป็นนายกรัฐมนตรี
ที่ศูนย์ประชุมมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ "การสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมด้านการศึกษา" โดยโครงการสานพลังประชารัฐด้านการศึกษา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "การศึกษาไทยกับการเตรียมคนในอนาคต" ตอนหนึ่งว่า ตนตื้นตันใจที่ได้เห็นถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งโครงการประชารัฐตนคิดวางแผนมานานแล้วว่าจะทำอย่างไรให้ทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชนได้ ซึ่งความร่วมมือทางการศึกษาของประชารัฐจึงมาถูกทางแล้ว เพราะการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาประเทศ ซึ่งการเตรียมคนไทยไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน และอนาคตพัวพันกันไปหมด แต่เราต้องเดินไปข้างหน้า เพื่อต่อสู่กับความไม่รู้ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเล่าเรียน ซึ่งเราต้องปรับประเทศของเราให้พร้อมกับทุกสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมของการเป็นประเทศไทย 4.0 โดยหลายคนก็ถามว่าการเป็น 4.0 อยู่ตรงไหนแล้วก็มาแสดงความคิดเห็นกันในโซเชี่ยลอย่างหลากหลาย แต่ตนก็เข้าใจว่าทุกเรื่องควบคุมไม่ได้ ดังนั้นจะต้องสร้างความเข้มแข็งด้วยการวางรากฐานตั้งแต่ระบบการศึกษาที่จะทำอย่างไรในการผลิตคนในอนาคตอีก 20 ปีข้างว่าคนจะมีอาชีพอย่างไร ทำงานอะไร ไม่ใช่อนาคตข้างหน้าแล้วยังขึ้นทะเบียนสวัสดิการรัฐอยู่
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า สำหรับการปฎิรูปการศึกษาทุกวันนี้ประชาชนก็อยากจะทราบว่าปฎิรูปการศึกษาเกิดขึ้นแล้ว เด็กได้อะไร พ่อแม่ได้อะไร และโรงเรียนได้อะไรบ้าง ซึ่ง ศธ.ก็ต้องไปดูรวมถึงการให้การบ้านเด็กให้เยอะหรือมากไปและความเหมาะสมของการบ้านควรอยู่ตรงไหน โดยโครงการสานพลังประชารัฐเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่สุดเราจะต้องทำให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อจะทำวันนี้ให้เป็นประวัติศาสตร์ในวันหน้า โครงการประชารัฐด้านการศึกษาจะต้องทำให้ครอบคลุมทุกกลุ่มจังหวัดตามแผนยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลด้วย เพราะการค้าและการลงทุนต้องผูกติดกับการศึกษาแทบทั้งสิ้น ต้องสอนคนให้รักแผ่นดินในทางที่ถูกต้อง พร้อมกับลดความเหลื่อมล้ำให้ได้ อีกทั้งโลกโซเชี่ยลมีเดียรวดเร็วมากคนแสดงความคิดเห็นทั้งที่รู้จริงบ้างไม่จริงบ้าง ศธ.ต้องไปสร้างหลักคิดที่ถูกต้อง สร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กและประชาชน ไม่ใช่ครูเปิดหนังสือแล้วสอนอย่างเดียว โดยสถานศึกษาจะต้องมีส่วนสร้างความเข้าใจให้เด็กได้รู้จักท้องถิ่นของตัวเอง เพราะตนเชื่อว่าเป้าหมายในการพัฒนาคนไทยทำได้ไม่ง่าย ซึ่งสถานศึกษาจะต้องไปคิดการผลิตผู้เรียนให้เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่จัดการเรียนการสอนพอเด็กเรียนจบสาขาต่างๆออกมาแล้วไม่มีงานทำก็มาด่ารัฐบาล ต้องสอนเด็กให้เรียนรู้ว่าเรียนในตำราแล้วจะไปทำงานอะไร ชีวิตในโลกการทำงานจะเป็นอย่างไร หรือสิ่งที่เราเรียนมาเรียนแล้วเพื่ออะไรสถานศึกษามีหน้าที่ทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ซึ่งตนทราบมาว่าเด็กหลายคนไม่ชอบเรียนอะไรยากๆ เช่น วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นต้น และพบว่าอาชีพที่ทุกคนอยากเป็นส่วนใหญ่ก็ทหาร หมอ ตำรวจ หรือเด็กบางคนก็อยากเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นจึงขอฝากโรงเรียนประชารัฐไปดูการสร้างความเป็นผู้นำด้วยจะทำอย่างไร ทั้งนี้ตนเห็นว่าเรามีโรงเรียน มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาหลากหลายจำนวนมากแต่ทำไมคนไม่เก่งสักทีเรื่องนี้ก็ต้องไปดูแก้ไขกันต่อไป แต่ทั้งนี้คนเชื่อว่าอีก 5 ปีข้างหน้านับจากวันประกาศเลือกตั้งประเทศไทยจะเข็มแข็งมากอย่างแน่นอน
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานภาครัฐ กล่าวว่า โครงการโรงเรียนประชารัฐเกิดขึ้นมากว่าสองปีแล้ว ซึ่งการดำเนินโครงการดังกล่าวไม่ใช่เป็นการทำงานบริการเพื่อสังคมเพื่อผ่านมาและผ่านไป แต่โครงการประชารัฐพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเรามีโรงเรียนประชารัฐตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน จำนวน 3351 แห่ง จากเป้าที่ตั้งไว้ 7000 แห่ง และในระยะที่2นี้ จะดำเนินการ 4600 แห่งที่ภาคเอกชนได้เข้ามาช่วยรัฐในการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพไม่ว่าจะเป็นการจัดทำเกณฑ์ประเมิน ซึ่งทำให้เรารู้ว่าต่อไปจะต้องพัฒนาคุณภาพโรงเรียนได้อย่างไรบ้าง ขณะเดียวกันโครงการประชารัฐยังทำให้เกิดผลเชิงระบบในด้านต่างๆทั้งด้านเทคโนโลยี โรงเรียนไฮสปีดอินเตอร์เน็ต โรงเรียนคุณธรรม ซึ่งทำให้ตนเห็นว่าการปฎิรูปการศึกษาทั่วโลกก็ไม่มีที่ไหนทำได้แบบประเทศไทยที่มีภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมจนทำให้การพัฒนาคุณภาพการศึกษามีทิศทางที่ถูกต้องจนขณะนี้จากเดิมที่เรามีภาคเอกชนเข้าร่วมเพียง 12 บริษัทจนเพิ่มเป็น 33 บริษัทเข้ามาร่วมมากขึ้นแล้ว ซึ่งถือว่าเกินเป้าหมาย
ด้านนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในฐานะหัวคณะทำงานภาคเอกชน กล่าวว่า การดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐภาคเอกชนได้กำหนดเป้าหมายของการทำงาน คือ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพคน และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ โดยอยู่ภายใต้ของเกณฑ์การดำเนินการใน 5 ด้าน คือ 1.ความโปร่งใส 2.กลไลตลาดและวัฒนาธรมการมีส่วน 3.การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน 4.เด็กเป็นศูนย์กลางสร้างเสริมคุณธรรมและความมั่นใจ และ 5.การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐนดิจิทัลของสถานศึกษา
...เดลินิวส์