นักวิชาการชี้ปัญหาการศึกษาไทยเกิดจากความเหลื่อมล้ำ ผูกขาด และรวบอำนาจ ศธ.จัดงบฯพัฒนาการศึกษาเพียง 25% แนะปฏิรูปฯ รอบใหม่ ให้อิสระโรงเรียนมากขึ้น จัดงบฯถึงผู้เรียนโดยตรง พ.ค.นี้สรุปแนวทางชงรัฐบาลใหม่

ที่อาคารหอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง (มร.) สมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย(สกล.)และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดเวทีสมัชชา เพื่อขับเคลื่อนการปฎิรูปการศึกษา:เวทีกลุ่ม/เครือข่ายสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย โดย ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดี มร. กล่าวว่า สภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาการศึกษา ได้แก่ 1.การปฏิรูปการศึกษา ต้องมาช่วยกันวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะที่ผ่านมาไทยพูดถึงการปฏิรูปฯ มากที่สุดในโลก แต่เมื่อดูผลประเมินต่างๆ กลับถูกติติงตลอด 2.คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนระดับ ม.ปลาย ซึ่งค่อนข้างต่ำและน่าหดหู่มาก 3.การกระจายอำนาจการจัดการศึกษา เพราะปัจจุบันเป็นการควบคุมมากขึ้น จึงต้องย้อนกลับมาดูว่าการกระจายอำนาจทำถูกทางแล้วหรือไม่ และ 4.สภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ควรเป็นพลัง และเป็นกระบอกเสียงแทนคนในแวดวงการศึกษา เพื่อช่วยพัฒนาการศึกษาไทยให้มีประสิทธิภาพ เพราะกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบ่อยมาก ทำให้การบริหารงาน และการดำเนินนโยบายต่างๆ ไม่ต่อเนื่อง

ด้าน รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม(มมส.) กล่าวว่า จากการสังเคราะห์ข้อมูลปัญหาการศึกษาของประเทศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า ปัญหาการศึกษาไทยเกิดจากการจัดสรรทรัพยากรจากส่วนกลาง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูง มีการผูกขาด และรวบอำนาจไว้ที่เดียว ไม่มีการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง นอกจากนี้ รมว.ศึกษาธิการ เปลี่ยนนโยบายโดยไม่สอบถามผู้ปฏิบัติ ขณะที่การใช้งบประมาณของ ศธ. เน้นการบริหารจัดการถึง 75% แต่พัฒนาการเรียนการสอน และผู้เรียนเเพียง 25% สถานศึกษาแข่งขันกัน ครูให้ความสำคัญกับงานกระดาษ มีเด็กสร้างชื่อเสียงให้ประเทศเพียง 10% แต่เด็กที่อยู่ใต้พรมมีจำนวนมาก ทั้งปัญหายาเสพติดและเซ็กส์

รศ.ดร.ประวิต กล่าวด้วยว่า ประเด็นที่ต้องเดินหน้าปฏิรูปการศึกษา มี 3 ด้านคือ 1.ปฏิรูปการบริหารจัดการ โดยปรับบทบาทของ ศธ. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จากผู้ถืองบฯเป็นผู้กำหนดนโยบายเพียงอย่างเดียวโดยระบุเป็นกฎหมาย ควรจัดงบฯถึงตัวผู้เรียน ให้โรงเรียนมีอิสระมากขึ้น ใช้มาตรการภาษีจูงใจเอกชน ตั้งกองทุนสมทบภาคประชาชน และจัดคูปองการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาส 2.ปฎิรูปบุคลากรทางการศึกษา โดยระบบผลิตครูต้องเน้นปฎิบัติจริง ปรับระบบวิทยฐานะให้สะท้อนผลลัพธ์ที่นักเรียน เปิดให้ภาคส่วนต่างๆ มีส่วนร่วมกำกับประเมิน และจัดสรรอัตรากำลังครูให้เหมาะกับโรงเรียน และ 3.ปฎิรูปความรับผิดชอบตรวจสอบได้ ได้แก่ ปรับปรุงกฎระเบียบที่กำกับความรับผิดชอบทุกระดับ ปรับระบบการวัดและประเมินผล และ ลดขนาดห้องเรียน โรงเรียน รวมทั้งกระจายทรัพยากรอย่างเท่าเทียม เพื่อให้การปฎิรูปการศึกษารอบใหม่ เป็นการสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพ มีความเข้มแข็ง มีความคิดเพียงพอที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ซึ่งภายในเดือนพฤษภาคมนี้ จะสรุปข้อเสนอทั้งหมด เพื่อเตรียมเสนอรัฐบาลชุดใหม่ต่อไป.














...เดลินิวส์